การจำแนกประเภท Blockchain นั้นแบ่งได้อย่างไร?
blockchain นั้นมีการจัดประเภทได้ 3 ประเภทหลักๆคือ public chain, permissioned blockchain รวมทั้ง consortium-led Blockchain
โดยแต่ละประเภทแตกต่างกันออกไป ดังนี้
1.public chain (Blockchain สาธารณะ)
Blockchain ชนิดนี้หลายคนมักรู้จักกันดีในชื่อ Bitcoin กับ Ethereum ซึ่งเป็น Blockchain ที่ใช้งานอยู่จริงกับคนทั่วทั้งโลก โดยมันมีลักษณะเด่นคือ องค์กรใดๆที่ใช้งานนั้นไม่จำเป็นที่ต้องลงทุนตอนเริ่มในราคาที่สูง ซึ่งลักษณะการทำงานนั้นเพียงแค่นำเอา Ethereum มาใช้เป็นแพลตฟอร์มสำหรับในการรับรวมทั้งส่งข้อมูล ก็สามารถใช้เพื่อเก็บข้อมูลรวมทั้งเรียกขึ้นมาดูได้แบบออนไลน์ โดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องลงทุนซื้อเครื่อง Server มาจัดตั้งระบบเอง นอกจากรายจ่ายเพียงเล็กน้อยสำหรับค่าการรับส่งแล้วก็รักษาข้อมูลตามการใช้งานจริงเท่านั้น ซึ่งก็เหมือนกับจ่ายค่าบริการแบบค่าใช้จ่ายสำหรับโทรศัพท์ชนิดเพิ่มเงิน ที่จ่ายตามอัตราใช้งานเพียงเท่านั้น
2.permissioned blockchain หรือ Private Blockchain (Blockchain ส่วนตัว) Blockchain จำพวกนี้จะจำกัดผู้ใช้งานโดยให้เฉพาะคนภายในหน่วยงานหรือคนที่ชักชวนเข้ามาใช้งานได้เท่านั้น
3.consortium-led Blockchain
Blockchain ชนิดนี้เป็นการผสมผสานPublic — Private รวมเข้าด้วยกัน ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมอย่างยิ่งในขณะนี้ ดังเช่นว่า Consortium Blockchain สำหรับธนาคารที่ใช้ในการถ่ายโอนข้อมูลการโอนเงินกันด้านในระบบแบบภายในหรือใช้ในหน่วยงานระหว่างสมาชิกเฉพาะกลุ่ม
เมื่อเทคโนโลยีได้เกิดขึ้น Blockchain ชนิดอื่นๆก็ได้เกิดขึ้น Public Chains นั้นเป็นต้นแบบเปิดที่มีความโปร่งใส ไม่ว่าจะเป็นคนทั่วไปหรือองค์กรก็สามารถใช้งานและส่งธุรกรรมผ่าน Public Chain ได้
Defi หรือ Decentralized Finance นั้มมีจุดเริ่มต้นมาจากการรวมตัวกันของCommunity อย่าง Ethereum Developer ใน project ต่างๆ ด้วยแนวความคิดของการสร้างระบบการเงินแบบไร้ตัวกลาง ซึ่งสามารถที่จะทำหน้าที่ในสิ่งเดียวกันกับที่ระบบการเงินปัจจุบันนี้หรือธนาคารทำอยู่ได้เช่นเดียวกัน
ไม่ว่าจะเป็นการ กู้ยืมเงิน ค้ำประกัน โอนทรัพย์สิน รวมไปถึงด้านอื่นๆที่ระบบการเงินในปัจจุบันนี้มีการรองรับ โดยบางครั้งอาจจะรวมถึงตลาดเงินตรา ทรัพย์สิน หรือแม้กระทั่งหุ้น. โดยตั้งแต่ปี2013 ก็ได้มีแพลทฟอร์ม Decentralized Exchange ที่เปิดตัวขึ้นมาจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก็มีความต่างกันน้อยเมื่อเทียบกับแพลทฟอร์มที่เป็นตัวกึ่งกลาง (Centralized)
ทั้งนี้อาจมองได้ว่า decentralized exchanges นั้นคือแพลทฟอร์ม ที่ผู้ใช้งานไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเผยตัวตน โดยคุณสามารถที่จะสมัครบัญชีแล้วก็เริ่มซื้อขายได้เลยรวมทั้งแต่ละทุกธุรกรรมบน Decentralized Exchange นั้นจะถูกประมวลผลด้วย ด้วย Blockchain โดยธุรกรรมจะเสร็จสิ้นก็เมื่อมี block ที่ถูกการันตี 1 Block แล้วเท่านั้น แม้กระนั้น decentralized exchanges นั้นจะไม่รับผิดชอบต่อการเก็บทรัพย์สินรวมทั้ง Private key ของผู้ใช้งาน เพราะเหตุนี้ความเสี่ยงของมันจึงลดน้อยลงด้วยการให้ผู้ใช้งานนั้นรับผิดชอบ ในด้านความปลอดภัยสำหรับการดูแล Private key
เมื่อเราพูดถึง Defi แล้ว สิ่งที่ต้องพูดถึงอีกอย่างก็คือ Digital Asset หรือก็คือโลกที่สินทรัพย์ทุกอย่างบนโลกนั้นกลายเป็นดิจิทัลไม่ว่าจะเป็น ทองคำ น้ำมัน หุ้น ที่ดิน หรืออาจจะเป็นอะไรก็ตามที่คุณไม่สามารถจินตนาการได้ว่ามันจะกลายเป็นสินทรัพย์ได้ และสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่เป็นสิ่งที่แลกเปลี่ยนได้แต่มันจะทำได้มากกว่านั้น
ในอนาคตเราอาจจะสามารถนำที่ดินไปซื้อของได้ เอาสัญญาเช่าไปแลกกับทองคำ เอาทองคำหรือแม้แต่หุ้นมาเป็นหลักประกันในการกู้ยืมสินทรัพย์ และเราอาจจะไม่ได้กู้เป็นตัวเงินเพื่อไปซื้อบ้าน เราอาจจะกู้เป็นตัวบ้าน เป็นสัญญาเช่าหรืออาจจะเป็นสิ่งอื่นๆได้เลย นี่คงจะยังเป็นภาพที่ใครหลายคนเคยมองว่ายังไกลตัว
แต่ต้องอย่าลืมว่า วิกฤตการณ์โควิดอาจกำลังเป็นตัวเร่งทุกคนไปสู่วิถีชีวิตดิจิทัล
ในปี 2008 ซึ่งเป็นปีที่ Satoshi Nakamoto นั้นได้เผยแพร่ White Paper ของ Bitcoin และต่อจากนั้นเป็นต้นมาก็เริ่มมี Cryptocurrency สกุลใหม่ๆเกิดขึ้นเรื่อย ๆในแต่ละวัน รวมไปถึงแนวทางในการลงทุนที่มีการพัฒนาขึ้นควบคู่ไปกับการที่ Bitcoin เริ่มได้รับการยอมรับที่มากขึ้นในวงกว้าง นอกเหนือจากนั้นแล้วยังมีแพลทฟอร์มการลงทุนต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นกระดานแลกเปลี่ยนออนไลน์หรือการซื้อขายแบบ OTC ทั้งในรูปแบบของ Centralized รวมทั้ง Decentralized
เมื่อเทียบกับการซื้อขายโดยตรงกับการขุดแล้ว. การซื้อ Cryptocurrency ในกระดานแลกเปลี่ยนเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการลงทุนหรือซื้อขายแลกเปลี่ยน Cryptocurrency มันมีรูปแบบเช่นเดียวกับการซื้อขายหุ้น โดยแพลทฟอร์มจะเก็บรวบรวมแล้วก็จับคู่ผู้ซื้อผู้ขาย คุณจะไม่ทราบและไม่จำเป็นที่จะต้องทราบว่าคุณซื้อขายแลกเปลี่ยนอยู่กับใคร ทั้งนี้คุณอาจจะทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนกับคนๆหนึ่งหรือกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการซื้อหรือการขายก็ตาม แพลทฟอร์มจะทำการบันทึกทุกคำสั่งซื้อไว้ รวมถึงการซื้อขายล่าสุดบนแพลทฟอร์มในขณะที่กระดานเทรดจะรวบรวมข้อมูลประวัติราคาซื้อขายและปริมาณซื้อขายและนำข้อมูลมาแสดงออกมาเป็นกราฟแท่งเทียน ซึ่งเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อนักลงทุนในการนำไปวิเคราะห์แนวโน้มของตลาด ในทุกวันนี้ Huobi Thailand นั้นเป็นหนึ่งในตลาดแลกเปลี่ยน Cryprtocurrency ที่ได้รับการรับรองจาก กลต.
การซื้อขายแบบ Quantitative
หรืออาจเรียกว่าการซื้อขายแลกเปลี่ยนด้วยอัลกอริทึ่มคือการใช้วิธีทางคณิตศาสตร์ที่สลับซับซ้อนแทนที่จะใช้การตัดสินใจส่วนตัวในการซื้อขาย ซึ่งมันเป็นแนวทางที่นำเอาความรู้สึกส่วนตัวในการซื้อขายแลกเปลี่ยนออกไป การกำจัดแนวความคิดที่ไม่คิดด้วยเหตุผลแต่ใช้อารม์สำหรับการลงทุนที่มักเกิดขึ้นได้ ในระหว่างที่ตลาดเกิดความปั่นป่วนหรือเทขาย การซื้อขายแบบ quantitative นั้นมีหลายประเภท อาทิเช่นการ arbitrage การซื้อขายตามแนวโน้ม การเทรดแบบป้องกันความเสี่ยง การ Arbitrage นั้นเป็นการหาจังหวะของช่องว่างระหว่างราคาระหว่างตลาดแลกเปลี่ยนมันมีโอกาสที่จะซื้อในราคาที่ต่ำในตลาดหนึ่งแล้วก็ขายในทันทีในอีกตลาดหนึ่ง ในส่วนของการซื้อขายตามแนวโน้มนั้นจะสลับซับซ้อนกว่ามันเป็นการตั้งคำสั่งซื้อขายตามแนวโนน้มของราคา Cryptocurrency การป้องกันความเสี่ยงเป็นการที่ตั้งคำสั่งสองคำสั่งที่อยู่ตรงกันข้ามกันในฝั่งซื้อแล้วก็ขายที่จำนวนเท่ากัน ทำให้โอกาสผลกำไรแล้วก็ขาดทุนลดน้อยลงซึ่งเป็นการคุ้มครองปกป้องการเสี่ยงการเติบโตของการซื้อขายแบบ quantitative เป็นสิ่งที่บอกถึงการสุกงอมของตลาด Cryptocurrency
OTC หรือการซื้อขายแบบ Over-the-counter
ผู้ซื้อรวมทั้งผู้ขายจะกำหนดราคาที่ต้องการสำหรับการแลกเปลี่ยนกับอีกฝ่ายโดยไม่ต้องผ่านตัวกลางอย่างตลาดแลกเปลี่ยนทั้งสองฝ่ายสามารถต่อรองราคาที่ตนเองต้องการก่อนปิดการซื้อขาย ไม่ว่าจะเป็นแบบเจอหน้ากันหรือผ่านโทรศัพท์ แนวทางแบบนี้เป็นแนวทางเริ่มแรกที่สุดสำหรับการซื้อขาย ขณะที่ Bitcoin เกิดขึ้นมันไม่มีแพลทฟอร์มตลาดแลกเปลี่ยนใด ๆ ก็ตามส่วนใหญ่แล้วนักลงทุนจะเทรดด้วยวิธีการแบบ OTCรวมทั้งรับเป็นเงินสดเท่านั้น ในตอนนี้นั้นมีแพลทฟอร์ม OTC มากมายที่ผู้ซื้อและก็ผู้ขายนั้นสามารถเลือกได้ว่าซื้อขายแลกเปลี่ยนกับคนไหน ซึ่งสะดวกสบายไม่แตกต่างกับการซื้อขายบนตลาดแลกผ่านแพลทฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนที่มีชื่อเสียง ทำให้สามารถลดความเสี่ยงที่บางทีอาจเกิดขึ้นได้
ในยุคสมัยปัจจุบันทุกคนในยุคนี้ต่างก็มีบัญชีธนาคารเป็นของตัวเองทั้งนั้น ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการช่วยอำนวยความสะดวกในการโอนเงินระหว่างบุคคล ธุรกรรมของ Bitcoin ก็ใช้หลักการเช่นเดียวกันคือการโอน Bitcoin จาก Address หนึ่ง ไปยังอีก Address หนึ่ง
อาทิเช่น ถ้าเกิดคุณต้องการส่ง Bitcoin สิ่งที่คุณจำเป็นที่จะต้องทำก็คือการใส่ข้อมูลตามขั้นตอนดังนี้
1.Address Bitcoin ของผู้รับ
2.จำนวนที่ต้องการส่ง
3.รายละเอียดธุรกรรมในการแลกเปลี่ยน Bitcoin ของคุณผ่าน Wallet หรือ interface
เมื่อรายละเอียดของธุรกรรมได้ถูกยืนยันแล้ว ธุรกรรมจะถูกประกาศและกระจายไปยังเครือข่ายของ Bitcoin โดยเฉลี่ยทุกๆ 10 นาที นักขุดจะรวบรวมและประมวลผลธุรกรรมที่ยังค้างอยู่ทั้งหมดลงใน Block ใหม่ โดยเมื่อทำสำเร็จมันจะถูกเรียกว่า 1 Confirmation ในจุดนี้ Bitcoin นั้นจะถูกส่งไปที่ address ของผู้รับแล้ว ซึ่งในปัจจุบันนี้จำเป็นจะต้องใช้การยืนยัน 6 ธุรกรรมเพื่อให้แน่ใจว่าธุรกรรมนั้นเชื่อถือได้และมองว่าธุรกรรมนั้นโอนสำเร็จแล้ว
Bitcoin address นั้นถูกสร้างขึ้นใหม่ในรูปแบบการสุ่มตัวอักษรและตัวเลขโดยจะมีจำนวนตั้งแต่ 26 ถึง 35 ตัว อาจกล่าวได้ว่ามันเป็นเลขที่อยู่บัญชีในอีกรูปแบบหนึ่ง ทั้งนี้ Bitcoin บน blockchain นั้นคุณสามารถมองเห็นทุกๆธุรกรรมของทุก Bitcoin address ซึ่งในแง่ของการทำงานแล้วมันก็คล้ายกับบัญชีธนาคารของ เพราะด้วย Bitcoin address ของคุณ คุณจะสามารถรับ Bitcoin จากใครก็ตามที่เลือกทำธุรกรรมส่งมาให้กับคุณ โดยตัวของ Bitcoin address นั้นสามารถได้รับมาจากการที่คุณสามารถดาวโหลด Bitcoin wallet หรือลงทะเบียนกับแพลทฟอร์มซื้อขาย Cryptocurrencyที่เปิดให้ใช้บริการได้ โดย Bitcoin address ของทุกคนนั้นจะไม่ซ้ำกัน
Bitcoin White Paper นั้นถูกโพสต์ที่แรกลงบน Cypherpunk
Cypherpunk คืออะไร? Cypherpunk นั้นเป็นเครือข่ายของระบบอีเมล์ที่ถูกเข้ารหัสในปี 1992 จากกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่งที่ถูกก่อตั้งขึ้นมาโดยใช้ชื่อว่า “Cypherpunk” ซึ่งมาจากคำว่า Cipher (การเข้ารหัส) และคำว่า Punk (กลุ่มเด็กวัยรุ่น)
พวกเขาได้สร้าง Mailing List (เครือข่ายสมาชิกที่ส่งข้อมูลกันผ่าน E-mail) ที่มีสมาชิกกว่า 700 คน โดยในกลุ่มนั้นจะมีการพูดคุยเกี่ยวกับความรู้เชิงคณิตศาสตร์ ศาสตร์แห่งการเข้ารหัส (Cryptography) การเมือง จิตวิทยาหรือเรื่องส่วนบุคคลฯ
ต่อมาในปี 1993 Eric Hughes(หนึ่งในผู้ก่อตั้ง) ได้เขียนบทความ “A Cypherpunk’s Manifesto” (แถลงการจาก Cypherpunk)
โดยอาจถือได้ว่านี่เป็นครั้งแรกของโลกที่กลุ่ม “Cypherpunk” ประกาศตัวขึ้นมาและสมาชิกในยุคแรกเริ่มนั้นเป็นคนวงการ IT ซะส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นผู้ก่อตั้ง WikiLeaks Julian Assange Bram Cohen, ผู้สร้าง BitTorrent ,ผู้สร้าง World Wide Web, Sir Tim-Berners Lee, Nick Szabo, ผู้คิดค้น smart contract Sean Parker,ผู้ร่วมก่อตั้ง Facebookและแน่นอน Satoshi Nakamoto ผู้สร้าง Bitcoin
ในช่วงก่อนที่ Bitcoin จะถือกำเนิดขึ้นนั้น สมาชิกของ Cypherpunk ได้มีการพยายามสร้างเงินดิจิทัลมาแล้วกว่า 10 ชนิด รวมถึงระบบชำระเงินด้วยเหตุผลว่าพวกเขาต้องการที่จะออกจากระบบการเงินแบบเดิมที่มีรัฐบาลเป็นผู้ควบคุมและไม่มีความเป็นส่วนตัว แต่น่าเสียดายที่ไม่มี Cryptocurrency ตัวไหนประสบความสำเร็จเลย
ถัดมาในปี 2008 ที่เกิดวิกฤติสินเชื่อซับไพรม์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “วิกฤติการณ์แฮมเบอร์เกอร์” ที่เกิดขึ้นมาจากการล้มตัวลงแบบฉับพลันของตลาดอสังหาริมทรัพย์ของประเทศสหรัฐอเมริกานำมาซึ่งการทำให้สถาบันการเงินทั่วทั้งโลกได้รับความย่ำแย่เศรษฐกิจถดถอยทั้งโลกธนาคารจำนวนมากต่างพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการอัดฉีดเงินเข้าระบบรวมทั้งผลิตเงินเพิ่มโดยผลักภาระหนี้สินให้แก่กลุ่มประชาชนส่งผลให้เกิดสภาวะเงินเฟ้อในเวลาต่อมา
แนวความคิดของ Cypherpunk ก็เลยกลับมาจุดประกายความนึกคิดคนจำนวนไม่น้อยว่าในความเป็นจริงแล้วระบบการเงินพวกเราใช้อยู่นั้นดีพอแล้วหรือยัง เพราะเหตุใดการที่มีตัวกลางที่คอยควบคุมเงินอย่างรัฐบาลจึงส่งผลให้เกิดข้อผิดพลาดอย่างมากมายมหาศาล
และจากนั้นในวันที่ 31 เดือนตุลาคม ปี 2008 White Paper ที่ชื่อว่า
“Bitcoin: A Peer-to-Peer Electronic Cash System” ก็ถูกโพสต์ลงบนเว็บไซต์ metzdown.com com โดยผู้ที่ใช้นามแฝง “ Satoshi Nakamoto “ในรายละเอียดได้พูดถึงเงินดิจิทัลของกลุ่ม Cypherpunk อาทิเช่น Hashcash รวมทั้ง B-money ด้วย
ในช่วงปี 2008 ที่เกิดวิกฤติการเงินของอเมริกา ได้มีการเปิดตัว
Bitcoin White Paper. ซึ่งผู้ที่สร้างคือ “Satoshi Nakamoto” ตัวตนที่แท้จริงของเค้ายังคงเป็นปริศนา และแม้จะมีการคาดเดากันอย่างต่อเนื่องว่าเขาคือใครกันแน่? แต่สิ่งที่เขาได้สร้างขึ้นมาก็ยังก่อให้เกิดความน่าสนใจได้มากกว่าการค้นหาตัวตนของเขาเช่นกัน
Satoshi Nakamoto ได้เผยแพร่เอกสารในอินเทอร์เนตในเรื่อง “Bitcoin: ระบบเงินสดดิจิทัลที่ไม่ต้องการตัวกลาง”ผ่านเว็บไซต์ bitcoin.org โดยมีจุดประสงค์เพื่อไม่ต้องการให้ค่าเงินถูกควบคุมโดยรัฐบาลหรือสถาบันการเงินใดๆ โดยเขาได้อธิบายถึงระบบเงินสดดิจิทัลแบบใหม่อย่าง Bitcoin ว่าไม่จำเป็นต้องอาศัยตัวกลางสำหรับการดูแลและมีการควบคุมอุปทาน
ซึ่งผู้ใช้งานสามารถส่ง Bitcoin ไปให้ใครก็ได้บนโลกนี้ผ่านเครือข่ายของ Bitcoin ซึ่งมันไม่มีอันตรายรวมทั้งทุกธุรกรรมนั้นจะถูกบันทึกข้อมูลไว้การนำเสนอ White Paper นั้นยังเป็นการเปิดตัวเทคโนโลยีที่อยู่เบื๊องหลังการกำเนิด Bitcoin นั้นคือ Blockchain
การกำเนิดของ Bitcoin เกิดขึ้นเมื่อ 4 เดือนมกราคมปี 2009 ซึ่งตรงเวลา 3 เดือนภายหลังจากการเปิดเผยแพร่ Bitcoin White Paper. Satoshi Nakamoto, ผู้เขียน Bitcoin whitepaper ได้ขุด Block แรกของ Bitcoin ที่เรียกว่า “The Genesis Block” ด้วย server ขนาดเล็กที่อยู่ที่ Helsinki Finland ด้วยเหตุนี้ Satoshi Nakamoto ก็เลยได้รับ 50 Bitcoins แรกเป็นรางวัลเพื่อเป็นอนุสรณ์ในการเกิดขึ้น ซึ่งรางวัลนี้จะลดน้อยลงครึ่งหนึ่งทุก 4 ปี Bitcoin นั้นได้ถูกคาดการณ์ว่าจะถูกขุดหมดในปี 2140 ซึ่งจะมี Bitcoin ทั้งสิ้นในระบบ 21 ล้าน BTC เมื่อเวลาผ่านไป Bitcoin เริ่มเป็นที่จับตามองจากตลาดเยอรมันเป็นประเทศแรกที่เป็นที่ยอมรับ Bitcoin สำหรับการชำระเงิน Microsoft, Dell รวมทั้งบริษัทอื่นๆที่มีชื่อเสียงก็เริ่มทำตามเช่นกัน
ในปัจจุบันพวกเราสามารถซื้อสินค้าที่หลากหลายด้วย Bitcoin ได้ จากหลากหลายช่องทางที่ถูกพัฒนามาเพื่อสกุลเงินแบบใหม่นี้
วิวัฒนาการของเงินในรูปแบบต่างๆนั้น ตั้งแต่อดีตกาลมาจนถึง ณ ปัจจุบัน ได้มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงรูปแบบมาโดยตลอดในยุคแรกเริ่มของการแลกเปลี่ยน ผู้คนใช้สิ่งของที่หาได้ยากมาใช้เป็นตัวแทนในการแลกเปลี่ยนไม่ว่าจะเป็นเปลือกหอย อัญมณี โลหะ เงินและทองคำฯ เป็นสกุลเงินด้วยเพราะว่ามันเป็นตัวเก็บมูลค่าที่ดี ต่อจากนั้นก็มีการเปลี่ยนแปลงมาใช้ธนบัตร การผลิตธนบัตรนั้นมีต้นทุนในการสร้างที่ต่ำ รวมทั้งยังสามารถนำไปแลกเปลี่ยนกับสิ่งต่างๆ ได้เป็นอย่างดีและมีสภาพคล่องที่ ดีมากยิ่งกว่าอาจเพราะว่ามันถูกรับประกันโดยรัฐบาล
เมื่อถึงยุคสมัยของอินเทอร์เน็ต ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งจากระบบธนบัตรมาเป็นการใช้ระบบบัญชี ในการทำธุรกรรมผ่านบัญชีนั้นเมื่อเกิดกระบวนการที่เงินในบัญชีถูกทำธุรกรรม ไม่ว่าจะเป็นการได้รับเงินเดือน การโอน การฝากหรือการใช้จ่ายอื่น ๆ ในชีวิตประจำวัน ธนาคารเท่านั้นที่มีสิทธิ์ในการแก้ไขยอดเงินบัญชีธนาคารของเรา ต่อมาในช่วงปี 2008 ที่เกิดวิกฤติการการเงินซัพไพร์ม ธนาคารกลางสหรัฐได้ใช้อำนาจสำหรับการผลิตเงินรวมทั้งเพิ่มอุปทานของเงินในระบบ
Satoshi Nakamoto บุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นคนที่คิดค้น Bitcoin มองว่าเป็นระบบที่ไม่มีความมั่นคงมากพอ จึงสร้างระบบการชำระเงินแบบใหม่ขึ้นมาโดยที่ทุกคนนั้นสามารถเก็บสมุดบัญชีและมีสิทธิ์ร่วมกัน รวมถึงระบบที่มีอุปทานการเงินจำกัด เพื่อให้เป็นสมุดบัญชีที่มีความโปร่งใส นั้นเป็นเป้าหมายรวมทั้งแผนการที่ทำให้ Bitcoin เกิดขึ้น
Bitcoin SV นั้นย่อมาจาก “Bitcoin Satoshi Vision” ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิตอลที่มีพื้นเพมาจาก Bitcoin Cash ที่ Hard Fork ออกมา
โดยแบ่งได้สองสกุลเงินเป็น
1.Bitcoin ABC (Adjustable Block size Cap)
2. Bitcoin SV (Satoshi Vision)
Bitcoin SV นับเป็นหนึ่งในสกุลเงินดิจิทัลลำดับต้นๆ Satoshi Nakamoto ถือเป็นบุคคลแรกที่เริ่มสร้างสกุลเงิน Bitcoin จึงมีความน่าเชื่อถือเขานับว่าเป็นผู้ผลิตต้นแบบของแวดวงสกุลเงินดิจิตอล ที่เจาะจงเอาไว้ภายในเอกสาร Bitcoin Whitepaper ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงและก็สร้างแรงผลักดันให้กับคนไม่ใช่น้อย
ในเดือนสิงหาคม ปี 2017 Bitcoin ได้รับการ Hard Fork ซึ่งสร้างสิ่งที่เรียกว่า Bitcoin Cash ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน ปี2018 Bitcoin Cash ถูกแยกอีกรอบเพื่อสร้าง Bitcoin SV หรือที่รู้จักกันในชื่อเต็ม Bitcoin Satoshi’s Vision ซึ่งเหมือนกันกับ Bitcoin Cash การผลิต Bitcoin SV ส่วนมากเชื่อมโยงกับการขัดแย้งหัวข้อการปรับขนาดของ Bitcoin blockchain ภายหลังจากแยกจาก Bitcoin blockchain
Bitcoin Cash ได้รับการปรับเปลี่ยนเพื่อเพิ่มขนาดบล็อกรวมทั้งปริมาณธุรกรรมซึ่งสามารถบันทึกและก็รับรองได้ในบล็อกเดียว
— จาก 1MB เป็น 32 MB ท้ายที่สุดรวมทั้งแผนการการคลังของ Bitcoin SV นั้นเหมือนกันกับ Bitcoin Cash (BCH) และก็ Bitcoin (BTC)
โดยการพัฒนา Bitcoin SV นำโดย nChain ซึ่งเป็น บริษัท R&D บล็อกศาสนาเชนที่นำโดย Craig Wright ผู้ซึ่งกล่าวถึงว่าเป็น Satoshi Nakamoto ผู้คิดค้น Bitcoin
Gavin Andresen หนึ่งในทีมนักพัฒนาหลักของวงการ Bitcoin ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในบุคคลซึ่งได้รับเมล์จากNakamoto ก่อนที่จะเขาจะล่องหนไป เขาเข้ามามีบทบาทสำคัญกับวงการ Bitcoin ตั้งแต่ช่วงปี 2010 และต่อมาเขาก็ได้กลายมาเป็นผู้นำในการพัฒนา Bitcoin โดยเริ่มจากการทำ submit โค้ดให้แก่ Nakamoto เพื่อใช้ในการพัฒนาให้ Bitcoin’s core นั้นพัฒนามาก
ต่อมาหลังจากที่ Nakamoto ได้ถอนตัวไปอยู่เบื้องหลัง Gavin Andresen จึงกลายมาเป็นผู้นำในของชุมชน Bitcoin เขาได้สร้างทีมพัฒนา Bitcoin’s core และเริ่มปรับปรุงและแก้ไขโค้ด Bitcoin และพัฒนาให้ Software มีความเสถียรมากยิ่งขึ้น
งานของ Andresen ในตอนแรกนั้นมุ่งเน้นไปที่การแก้ไขข้อบกพร่องในการออกแบบที่ใหญ่ที่สุดและการสร้างโครงสร้างพื้นฐานการออกแบบที่มั่นคง
ในช่วงเดือนแรกของการทำงานผลงานของ Andresen มุ่งเน้นไปที่การเขียนใหม่และปรับปรุงหลาย ๆ ส่วนของซอฟต์แวร์ Bitcoin ดั้งเดิม ในตอนนั้นการพัฒนาตกอยู่ในมือของนักพัฒนาเพียงห้าคน ในที่สุดส่วนที่ซ้ำซ้อน จุดบกพร่องและปัญหาด้านความปลอดภัยก็ได้รับการแก้ไข ด้วยเหตุนี้จึงไม่แปลกที่จะพูดถึง Gavin Andresen ในฐานะ “ชายผู้สร้าง Bitcoin” นี่คือผลงานของเขาที่วางรากฐานสำหรับสกุลเงินดิจิทัลนี้ในที่สุดและอนุญาตให้เทคโนโลยีพัฒนาขึ้น
ยุคแรกของ Bitcoin นั้นได้มีการแจก Bitcoinแบบฟรีๆ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2010 Gavin Anderson ได้ซื้อ 10,000 bitcoin มาในราคา 50 ดอลลาร์รวมทั้งได้สร้างเว็ปไซต์ที่ชื่อว่า “Bitcoin Faucet” (ฟรี bitcoin) ที่จะมอบ 5 bitcoin ให้แก่ผู้ใช้งานฟรีๆซึ่งมันมีมูลค่าเพียงแค่ 5 เซนต์ในขณะนั้น พฤติกรรมในตอนนั้นส่งผลกระทบเป็นอย่างมากจากนั้นก็มีคนเลียนแบบ Gavin ด้วยการผลิต website ที่มอบ Bitcoin ปริมาณน้อยๆแก่ผู้เข้าชมเนื่องจาก Bitcoin เป็นสิ่งที่หาได้ง่ายและมันค่อนข้างถูก ในทางตรงกันข้ามเว็ปไซต์พวกนี้ก็เลยมีผู้เข้าชมมากมาย พวกเขาก็เลยได้ค่าใช้จ่ายในการโฆษณาประชาสัมพันธ์จำนวนมาก ในการที่ทำให้ผู้ใช้งานเข้ามาเยี่ยมชมเว็ปไซต์ที่เกี่ยวกับ Bitcoin ในช่วงแรกๆนั้นประมาณ 50% ของ Bitcoin websites มีการเยี่ยมชมจากวิธีนี้ทำให้มันเป็นรูปแบบธุรกิจที่ทำงานได้จริง
ถัดมาในปี 2012 Gavin ได้ก่อตั้งองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรอย่าง Bitcoin Foundation อาจพูดได้ว่าความสำเร็จของ Bitcoin นั้นเกิดจากการสนับสนุนที่ยิ่งใหญ่ของเขาเลยก็ว่าได้
Bitcoin White Paper นั้นถูกโพสต์ที่แรกลงบน Cypherpunk
Cypherpunk คืออะไร?
Cypherpunk นั้นเป็นเครือข่ายของระบบอีเมล์ที่ถูกเข้ารหัสในปี 1992 จากกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่งที่ถูกก่อตั้งขึ้นมาโดยใช้ชื่อว่า “Cypherpunk” ซึ่งมาจากคำว่า Cipher (การเข้ารหัส) และคำว่า Punk (กลุ่มเด็กวัยรุ่น)
พวกเขาได้สร้าง Mailing List (เครือข่ายสมาชิกที่ส่งข้อมูลกันผ่าน E-mail) ที่มีสมาชิกกว่า 700 คน โดยในกลุ่มนั้นจะมีการพูดคุยเกี่ยวกับความรู้เชิงคณิตศาสตร์ ศาสตร์แห่งการเข้ารหัส (Cryptography) การเมือง จิตวิทยาหรือเรื่องส่วนบุคคลฯ
ต่อมาในปี 1993 Eric Hughes(หนึ่งในผู้ก่อตั้ง) ได้เขียนบทความ “A Cypherpunk’s Manifesto” (แถลงการจาก Cypherpunk)
โดยอาจถือได้ว่านี่เป็นครั้งแรกของโลกที่กลุ่ม “Cypherpunk” ประกาศตัวขึ้นมาและสมาชิกในยุคแรกเริ่มนั้นเป็นคนวงการ IT ซะส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นผู้ก่อตั้ง WikiLeaks Julian Assange Bram Cohen, ผู้สร้าง BitTorrent ,ผู้สร้าง World Wide Web, Sir Tim-Berners Lee, Nick Szabo, ผู้คิดค้น smart contract Sean Parker,ผู้ร่วมก่อตั้ง Facebookและแน่นอน Satoshi Nakamoto ผู้สร้าง Bitcoin
ในช่วงก่อนที่ Bitcoin จะถือกำเนิดขึ้นนั้น สมาชิกของ Cypherpunk ได้มีการพยายามสร้างเงินดิจิทัลมาแล้วกว่า 10 ชนิด รวมถึงระบบชำระเงินด้วยเหตุผลว่าพวกเขาต้องการที่จะออกจากระบบการเงินแบบเดิมที่มีรัฐบาลเป็นผู้ควบคุมและไม่มีความเป็นส่วนตัว แต่น่าเสียดายที่ไม่มี Cryptocurrency ตัวไหนประสบความสำเร็จเลย
ถัดมาในปี 2008 ที่เกิดวิกฤติสินเชื่อซับไพรม์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “วิกฤติการณ์แฮมเบอร์เกอร์” ที่เกิดขึ้นมาจากการล้มตัวลงแบบฉับพลันของตลาดอสังหาริมทรัพย์ของประเทศสหรัฐอเมริกานำมาซึ่งการทำให้สถาบันการเงินทั่วทั้งโลกได้รับความย่ำแย่เศรษฐกิจถดถอยทั้งโลกธนาคารจำนวนมากต่างพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการอัดฉีดเงินเข้าระบบรวมทั้งผลิตเงินเพิ่มโดยผลักภาระหนี้สินให้แก่กลุ่มประชาชนส่งผลให้เกิดสภาวะเงินเฟ้อในเวลาต่อมา
แนวความคิดของ Cypherpunk ก็เลยกลับมาจุดประกายความนึกคิดคนจำนวนไม่น้อยว่าในความเป็นจริงแล้วระบบการเงินพวกเราใช้อยู่นั้นดีพอแล้วหรือยัง เพราะเหตุใดการที่มีตัวกลางที่คอยควบคุมเงินอย่างรัฐบาลจึงส่งผลให้เกิดข้อผิดพลาดอย่างมากมายมหาศาล
และจากนั้นในวันที่ 31 เดือนตุลาคม ปี 2008 White Paper ที่ชื่อว่า
“Bitcoin: A Peer-to-Peer Electronic Cash System” ก็ถูกโพสต์ลงบนเว็บไซต์ metzdown.com com โดยผู้ที่ใช้นามแฝง “ Satoshi Nakamoto “ในรายละเอียดได้พูดถึงเงินดิจิทัลของกลุ่ม Cypherpunk อาทิเช่น Hashcash รวมทั้ง B-money ด้วย